เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 พ.ย.67 พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกถึงความคืบหน้าในคดีเจ๊อ้อย ที่แจ้งความเอาผิดถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม โกงเงิน 71 ล้าน
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากสอบปากคำเจ๊อ้อยไปแล้ว 4 ครั้ง ถือว่าครบถ้วนแล้ว ยังไม่ต้องเรียกมาสอบปากคำเพิ่มแต่หากพบเจอหลักฐานอื่นที่ได้มาแล้วเห็นว่ายังไม่ได้สอบปากคำก็จะเชิญมาอีกครั้ง ส่วนพยานฝั่งผู้เสียหายก็สอบปากคำเลขาของเจ๊อ้อยไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังได้มีการสอบปากคำพยานกลางอื่นๆไปอีกหลายคน แต่ยังไม่ครบ ซึ่งต้องดูหลักฐานไปพาดพิงถึงใคร ก็จะก็เชิญมาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเฉพาะส่วนไหนที่เห็นว่า ยังขัดแย้ง ขัดกันอยู่ ก็ต้องเรียกมาสอบให้ชัดเจน ทั้งนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่าประเด็นอะไรที่ขัดแย้งบ้าง เพราะต้องดูทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่พยานกลางที่สอบปากคำ ก็จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับเส้นทางการเงิน เหตุการณ์ สัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ มาจนถึง ณ วันนี้ จะสามารถออกหมายเรียกหรือหมายจับได้หรือไม่นั้น พล.ต.ต.สุวัฒน์ ระบุว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าพยานหลักฐานเพียงพอหรือยัง เพราะต้องให้มีความขัดเจนมั่นคง เพื่อให้พยานหลักฐานมัดตัวผู้กระทำความผิดได้อย่างแน่นหนา จึงต้องใช้เวลาหน่อย และที่ต้องสอบปากคำหลายรอบ ก็เพื่อต้องการความชัดเจนและเพื่อให้ความเป็นธรรม “เราไม่ได้ทำตามกระแส แต่ทำตามพยานหลักฐาน” ส่วนกรณีที่ ของสน.บางซื่อ ที่ นางสาวสา ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ได้โอนบิตคอยน์ไปยังบัญชีปลายทางไม่ทราบชื่อ แต่ว่าเมื่อโอนไปแล้ว ปรากฏว่าปลายทางปิดบัญชีหนีไป ติดต่อไม่ได้ ทำให้สูญเสียบิตคอยน์ไป ไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ จำนวน 2 ล้านบาทนั้น พล.ต.ต.สุวัฒน์ บอกว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่ผู้เสียหายแจ้งไว้ ซึ่งยอมรับว่า ขณะนี้ ผู้เสียหายแจ้งความไว้ใน 2-3 เรื่องตามทราปรากฎเป็นข่าว
ทั้งในเรื่องคดีเงิน 71 ล้าน เงิน 39 ล้าน , รถเบนซ์ และค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท สำหรับการที่ทนายตั้มมาปรากฎตัวที่กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 5 พ.ย.นั้น พล.ต.ต.สุวัฒน์ ยืนยันว่า ไม่ได้มีผลต่อการรวบรวมพยานหลักฐานเขาคงจะแสดงอะไรของเขา แต่เราก็ทำตามอำนาจหน้าที่ของเรา
ซึ่งในวันนั้นทนายตั้มไม่ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเหมือนกับกรณีของดิไอคอนที่เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ แต่ของทนายตั้มเพียงแค่มาให้ข่าวกับสื่อมวลชน ส่วนกรณีที่ทนายตั้มอ้างว่า มีตำรวจไปเฝ้าหน้าบ้านเกิดความไม่สบายใจจึงเดินทางมานั้น มองว่า ก็แล้วแต่เขาจะกล่าวอ้าง เพราะไม่ได้มีผลกับทางคดีเช่นกัน และไม่ได้กังวลเรื่องของการจะหลบหนี เพราะหากหลบหนีก็แสดงว่ากระทำความผิด
ขณะที่บรรยายกาศที่ กองปราบนั้น เต็มไปด้วยสื่อมวลชน ปักหลักเฝ้ารอ หลังมีข่าวลือว่าอาจจะมีการออกหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลา 11.46 น. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. ยืนยันออกหมายจับทนายตั้มแล้ว อยู่ระหว่างติดตามตัว ส่วนรายละเอียดและข้อหายังไม่ขอตอบ ให้ผู้บังคับบัญชาชี้แจง รายงานข่าว แจ้งว่าศาลอาญารัชดา ออกหมายจับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในข้อหา ฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน ขณะที่ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ล่าสุด มีรายงานข่าวว่าทนายตั้มได้ขับรถปอร์เช่ สีน้ำตาล ออกมาจากบ้านหรู ย่านตลิ่งชันไปตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา (09.30น.) ก่อนที่จะออกหมายจับ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ระหว่างติดตามตัว
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.45 น. คุมตัว “ทนายตั้ม-เมีย” ถึงกองปราบแล้ว พร้อมรถหรู กระเป๋าใบใหญ่ท้ายรถ หลังถูกจับกุมได้ที่ฉะเชิงเทรา โดยเป้าหมายการเดินทางคือจังหวัดสระแก้ว