จากรณีชายรายหนึ่งไลฟ์สดในเฟซบุ๊กส่วนตัว นำลูกสาวขับรถยนต์เก๋งพุ่งตกแม่น้ำตรัง บริเวณใต้สะพานพระยารัษฎานุประดิษฐ์ หรือสะพานย่านซื่อ ตรงข้ามกับวัดย่านซื่อ พื้นที่หมู่ 3 ต.ย่านซื่อ อ.กันตัง ซึ่งตำรวจชุดสืบสวนและชาวบ้าน ไม่ต่ำกว่า 30 ชีวิต ได้ช่วยกันลากรถเก๋งที่จมมิดหลังคาขึ้นมาจากน้ำ พร้อมช่วยกันนำ นายกวีวัฒน์ หรือ โกแบงค์ อายุ 28 ปี ออกมาจากรถ ก่อนนำตัวของเด็กน้อย อายุประมาณ 1 ปี 7 เดือน ส่งโรงพยาบาล
ล่าสุด (6 พ.ค.67) เวลาประมาณ 10.00 น. ที่ รพ.ตรัง ผู้สื่อข่าวได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัย ว่า นายกวีวัฒน์ เสียชีวิตแล้ว เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ส่วนอาการของเด็กหญิง ยังโคมา โอกาสรอดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งแพทย์พยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ
ด้าน นางสาวลภัสรดา อายุ 25 ปี อดีตภรรยาและแม่ของเด็ก เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า หมอแจ้งอาการล่าสุดของลูกสาว ว่ามีโอกาสรอดชีวิตเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้ารอดก็เป็นเจ้าหญิงนิทรา เพราะสมองน้องตายไปแล้ว หากต้องยื้อชีวิตมีเพียงแค่หัวใจที่ยังเต้นและความดัน หมอพยายามช่วยอย่างเต็มที่ เพราะตอนแรกรับน้องขึ้นมาจากน้ำ เจ้าหน้าที่กู้ชีพใช้เวลาปั๊มหัวใจกว่า 30 นาที ซึ่งโอกาสรอดยากอยู่แล้ว
ส่วนปมเหตุที่อดีตสามี ตัดสินใจจบชีวิตนั้น นางสาวลภัสรดา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนพยายามจะไปเอาลูกมาเลี้ยงเองมาตลอด เพราะอดีตสามีพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง เราเห็นจากการโพสต์บนโซเชียลมาตลอด เราก็พยายามแคปหน้าจอไว้ทุกช่องทางและไปแจ้งตำรวจไว้ เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานในการไปขอลูกคืน แต่อดีตสามีก็บอกให้ไปฟ้องศาลเอา เพราะที่ผ่านมาเราพยายามเจรจาแต่ไม่ลงตัว เราทราบว่าเขาป่วยจิตเวช ไบโพลาร์ อารมณ์ 2 ขั้ว สุดท้ายก็มีการเจรจาขอเจอลูกสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และตนก็จะซื้อของใช้ลูกให้ แค่ขอได้เจอหน้าลูก ซึ่งปมเหตุของการตัดสินใจจบชีวิตในหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงิน เห็นได้จากการตัดพ้อผ่านโซเชียลมีเดียบ่อยๆ เนื่องจากไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง และชอบโพสต์หาค่านมลูกผ่านทางโซเชียลมีเดียบ่อยๆ
ด้าน นางอารี อายุ 57 ปี ยายของเด็ก เปิดเผยว่า ปกติหลานเป็นเด็กร่าเริง อารมณ์ดี และตอนนี้ตนเองหัวใจสลาย เมื่อทราบข่าวอาการน้องตอนนี้มีโอกาสรอดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์หมอให้ดูอาการคืนนี้อีก 1 คืน และการที่ลูกชายตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งก่อนเขาไลฟ์สดและพยายามฆ่าตัวตายพร้อมลูก แต่ทางเราก็พยายามเอาหลานกลับคืนมา แต่เขาไม่ให้ แค่จะไปเยี่ยมก็ยังไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าทางญาติเขารักหรือห่วงแบบไหนถึงไม่ให้เราพบหน้า สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้เลย เพราะหลานอยู่กับเราสภาพจิตใจเขาดี