วันที่ 4 พ.ค.67 เวลา 11.00 น. ที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ญาติของชายที่พลัดตกท่อน้ำเสียชีวิต ประกอบด้วยพี่สาวทั้ง 2 คน และนายกำพลน้องชาย นำเสื้อผ้าและดอกไม้เข้ารับร่าง นายกำธร อายุ 59 ปีนายกำพล น้องชายผู้เสียชีวิต เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า วานนี้ (3 พ.ค.) มีนางสาวทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่ากทม. ติดต่อเข้ามาพร้อมกับมอบเงินเยียวยาให้เล็กน้อย ส่วนนายฐิติวุธ เงินคล้าย รองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง ได้ให้เลขาติดต่อมา แต่ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องเงินเยียวยา มีเพียงแค่แสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ขอโทษอะไรกับครอบครัว ส่วนตัวมองว่านายฐิติวุธ รองผู้ว่ากฟน.ไม่จริงใจ และคิดว่าจะจบเรื่องนี้ได้โดยง่ายเพราะครั้งแรกบอกจะมาร่วมงานศพ แต่เปลี่ยนใจให้เลขามาแทน
นายกำพล เล่าต่อว่า เมื่อคืนนี้ลูกสาวของเพื่อน ได้ติดต่อไปที่พรรคก้าวไกล ซึ่งรับผิดชอบเขตลาดพร้าว และเลขาของนายชวน หลีกภัยสส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อมาพร้อมเปิดเผยว่าจะช่วยประสานงานเรื่องเงินเยียวยา ส่วนตัวตนจะฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพราะพี่ชายเป็นคนดูแลพี่สาวคนโตมาตลอด พอไม่มีพี่ชายก็ทำให้ครอบครัวลำบากขึ้น ถ้ามีพี่ชายอยู่ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังคงพาออกไปเที่ยว และไปกินข้าวได้ตลอด
ถ้าหากพี่ชายยังอยู่เงินทองก็ไม่ได้สำคัญอะไร
นายกำพล บอกอีกว่า ส่วนตัวอยากให้หน่วยงานรัฐเข้ามาเปลี่ยนแปลง เรื่องของฝาท่อให้เสร็จเรียบร้อย “อย่าทำแบบขอไปที” ตนคิดว่าแค่ไม้กระดาน หากเด็กเดินผ่านก็ทำให้ร่วงได้เหมือนกัน นอกจากนั้นบริเวณฝาท่อ ยังมีต้นไม้และดินที่ปิด ทำให้คนที่ข้ามถนนไม่สามารถสังเกตได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ให้อภัยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบหรือไม่ นายกำพล บอกว่า ไม่ให้อภัยพร้อมทั้งฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า “ลองให้คนในบ้านของคุณมาเดินดู” และหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างว่า ฝาท่อมีไม่เพียงพอ ทำไมหลังเกิดเหตุ ถึงนำฝาปูนมาปิดได้ทันที สิ่งนี้ทำให้เห็นและแสดงว่าฝาปูนนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว ” แต่หน่วยงานแค่สะเพร่าและไม่ยอมทำ”
นายกำพล ยังบอกอีกว่า การหล่อฝาท่อใหม่ น่าจะใช้เวลาไม่นาน และถ้ากลัวว่าฝาท่อหายทำไมถึงไม่ติดกล้องเอาไว้ เพราะถ้าหากมีการติดกล้อง ก็สามารถจับผู้ต้องหาได้ทันที งบในการจัดหาฝาท่อเป็นงบของแผ่นดินทำไมหน่วยงานถึงยังช้าอยู่
นายกำพนธ์ กล่าวปิดท้ายว่า หลังเกิดเหตุญาติได้คุยกันว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายในการเยียวยาเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท เพราะเชื่อว่าคงมีการเจรจาต่อรองกัน แต่ตนอยากให้เห็นใจพี่สาวคนโตที่ปกติจะอยู่กับพี่ชายด้วยกัน 2 คนมาตลอด จากนี้พี่สาวซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน อยู่ในวัยชราจะต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียว